
ในบ้านเราตอนนี้ กทช. กำลังพูดถึงการเปิดประมูล 3G ที่ตอนนี้ถูกอัพเกรดขึ้นเป็น 3.9G ไปแล้วนั้น แต่ในสหรัฐอเมริกา คำว่า 4G นั้นกลายเป็นคำพูดสามัญประจำเครือข่ายของหลาย ๆ ค่าย ที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น AT&T และ Horizon ที่หนุนหลัง และผลักดัน เทคโนโลยี 4G LTE ในขณะที่ Sprint ค่ายสื่อสารยักษ์ใหญ่อีกรายกลับไปให้ความสำคัญกับ WiMax ซึ่งไม่ว่าจะค่ายไหนก็ตาม ต่างคนต่างกำลังพยายามอัพเกรดโครงข่ายของตัวเองให้รองรับระบบ 4G ในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายโครงข่าย 4G ได้ทั่วประเทศภายใน 2 ปีข้างหน้า ถึงแม้ในความเป็นจริง ถนนจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป และมีอะไรที่จะต้องฝ่าฟัน และ พัฒนาอีกมากสำหรับทุกค่ายผู้ให้บริการ
ตกลง 4G มันคืออะไร?
จริง ๆ แล้ว คำว่า 4G ก็คือคลื่นลูกที่ 4 ของโครงข่ายโทรคมนาคมไร้สายความเร็วสูง ซึ่งถ้าจะแบ่งเทคโนโลยี ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ก็คือ LTE และ WiMax ซึ่งไม่ว่าจะเทคโนโลยีใดก็ตาม จะต้องสามารถส่งผ่านข้อมูล ภาพ เสียง ได้เร็วกว่าระบบ 3G ที่ใช้กันอยู่ประมาณ 10 เท่า ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ไม่เคยทำได้บนโทรศัพท์มือถือสามารถเกิดขึ้นจริงได้ และจะทำให้โทรศัพท์มือถือ หรือ Smart Phone ของเรา สามารถทำงานเข้าใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้าไปทุกที
ในสหรัฐอเมริกา ค่ายมือถือที่เป็นผู้นำในการพัฒนาโครงข่าย 4G ก็ได้แก่ AT&T, Horizon, และ Sprint ซึ่งสองค่ายแรกนั้น พัฒนาโครงข่ายตัวเองตามมาตรฐาน 4G LTE ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย ความร่วมมือของผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายค่ายร่วมกันเป็น consortium บนพื้นฐานของ CDMA/HSPA ส่วน WiMax นั้นถูกพัฒนามาบนพื้นฐานของระบบ WiFi หรือบางครั้งถูกเรียกว่า Super WiFi โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตรฐานนี้ก็คือ IEEE ถึงแม้ว่าทาง ITU (International Telecommunication Union) จะเคยกล่าวว่า
WiMax นั้นเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นตระกูลเดียวกับ 3G แต่ทุกอย่างก็อยู่ที่คำจัดความของ 4G ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูล การเคลื่อนที่ขณะรับส่งข้อมูล หรือ ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่น ๆ ถ้าทั้งสองค่ายสามารถยืนยันได้ว่าเทคโนโลยีของตนนั้นผ่านเกณฑ์ที่เรียกว่า 4G ได้ ก็ถือว่าใช้ได้
แล้ว 4G มันจะเร็วแค่ไหน?
ในทางทฤษฎีแล้ว 3G จะต้องสามารถทำความเร็วในการส่งข้อมูลได้ที่ 2 Mbps แต่ในความเป็นจริงความเร็วสูงสุดที่ทำได้ก็น่าจะอยู่แค่ 500 kbps ถึง 1.5 Mbps เท่านั้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เราอยู่ จำนวนผู้ใช้งานใน Cell Site นั้น ๆ สำหรับ WiMax นั้นโดยพื้นฐาน
สามารถทำความเร็วได้ถึง 6 Mbps ดาวน์โหลด หรือ 1 Mbps อัพโหลด แต่ในทางเทคนิคสามารถอัพเกรดความเร็วได้สูงอีกมาก
ถึงขนาด 100 Mbps ดาวน์โหลด และ 50 Mbps อัพโหลดกันเลยทีเดียว แต่นั้นก็คือทฤษฎีเท่านั้น
ในการที่จะมองเห็นภาพความเป็นจริงของ 4G เราจะเอาผลการทดสอบของ Sprint WiMax กับโครงข่าย Verizon LTE 4G มาลองพิจารณากันดู โดยผู้ทดสอบในครั้งนี้ก็คือ PC World จากการทดสอบโครงข่ายของ Sprint โดยใช้เครื่อง HTC EVO 4G ที่รองรับเทคโนโลยี WiMax พบว่า ความเร็วสูงสุดที่ทำได้นั้นไม่เคยเกิน 3 Mbps ในขณะที่โครงข่าย LTE ของ Verizon นั้นสามารถทำความเร็วได้ในระดับที่ดีกว่าคือ 5-12 Mbps สำหรับดาวน์โหลด และ 2-5 Mbps สำหรับอัพโหลด แต่ผลทดสอบของ Verizon นั้น ทำกันในสภาวะที่ผู้ใช้งานในโครงข่ายยังไม่เต็มพิกัด โดยในความเป็นจริงเมื่อมีผู้ใช้งานมาก ๆ ความเร็วก็อาจต่ำลงได้อีก
ในสหรัฐอเมริกา เราสามารถใช้โครงข่าย 4G ของ Sprint WiMax ได้แล้วในหลายรัฐ อย่าง Seattle, Baltimore, Chicago และ Dallas ส่วนที่ San Francisco และ New York คาดว่าจะใช้ได้ในปลายปีนี้ ก่อนจะขยายไปทั่วประเทศภายในสองปี
ถ้าจะใช้ 4G ต้องเปลี่ยนเครื่องไหม?
ถ้าจะใช้โครงข่าย 4G เราต้องเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์เป็นรุ่นที่รองรับ 4G อย่างตอนนี้ที่มีใช้ในสหรัฐอเมริกาก็ได้แก่ HTC Evo ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ Android OS และมีหน้าจอแบบทัชสกรีนขนาด 4.3 นิ้ว กล้องหน้า หลัง เพื่อการทำ VDO Conference มีพอร์ต HDMI โดยราคาอยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐ พร้อมกับต้องทำสัญญาต่อเนื่อง 2 ปี แถมยังมีการคิดค่าบริการโครงข่าย 4G เริ่มอีก 10 เหรียญ
ต่อเดือน สำหรับคนที่ใช้โครงข่าย 4G แต่สำหรับคนที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเครื่อง ก็สามารถใช้โครงข่าย 3G ได้ตามปกติ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 10 เหรียญต่อเดือนนี้
ทาง Verizon นั้นคาดการไว้ว่าน่าจะมีผู้ใช้งาน 4G เพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านคน ภายในปี 2013 และคาดว่าจะ ณ. เวลานั้น จะสามารถมีเครื่อข่าย 4G ครอบคลุมทั่วประเทศได้ ข้อสังเกตุที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของ iPhone 4G ที่กำลังจะออกมาสู่ตลาดเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทาง Apple เองนั้นคงต้องพยายามทำให้มันสามารถเชื่อมต่อกับโครงข่าย 4G ของ Sprint ให้ได้ มันถึงจะเรียกว่า 4G ได้เต็มรูปแบบ เพราะผู้ให้บริการรายอื่น ๆ นั้น ยังมีการให้บริการในบางพื้นที่เท่านั้น และไม่ครอบคลุมเท่ากับ Sprint นั่นหมายความว่า ถ้า Apple ไม่ทำเครื่องพิเศษที่รองรับ 4G แบบ Sprint WiMax แล้วก็คงต้องรอกันอีกเป็นปี ๆ ก่อนที่ iPhone 4G จะได้ใช้โครงข่าย
4G ในสหรัฐ
ความคืบหน้าของ 4G เป็นอย่างไรบ้าง?
ในสหรัฐขณะนี้ มีผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ 3 รายที่มีศักยภาพที่จะดำเนินการระบบ 4G แต่ถ้านับถึงความพร้อมที่สุดในขณะนี้คงต้องยกให้ Sprint 4G (WiMax) ที่ในขณะนี้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด คือ 36 เมืองใหญ่ในสหรัฐ และคาดว่าจะครอบคลุมเมืองใหญ่ทั้งหมดได้ภายในปีนี้
สำหรับ AT&T คาดว่าจะมีการเริ่มโครงการทดสอบในปีนี้ และเทคโนโลยีที่จะใช้ก็คือ LTE ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในบางส่วนในปี 2011 แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะครอบคลุมในส่วนใดบ้าง
Verizon เป็นอีกรายหนึ่งที่เดินหน้าโครงข่าย 4G ใน Boston และ Seattle มาตั้งแต่ปี 2009 และตามแผนจะเปิดให้บริการ 4G ได้ใน 30 เมืองใหญ่ภายในปีนี้ และคาดว่าจะสามารถรองรับผู้ใช้ได้ประมาณ 100 ล้านคน ในปี 2013 โดยคาดว่าจะกระจายโครงข่าย 4G ไปทั่วประเทศในที่สุด
สำหรับผู้ให้บริการที่เล็กลงมาอีกนิดก็คือ T-Mobile ดูจะไม่รีบร้อนกับการเข้าสู่ตลาด 4G เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างการอัพเกรดโครงข่าย 3G เดิมให้ขึ้นมาเป็น 3.5G หรือ HSPA+ ที่บ้านเราเรียกกันว่า 3.9G โดยทาง T-Mobile คาดว่าจ HSPA+ จะสามารถเปิดให้บริการใน Los Angeles และ เมืองใหญ่ ๆ ของสหรัฐได้ภายในปีนี้ ดังนั้นถ้าจะพูดถึง 4G นั้นก็คงจะอีกนาน
MetroPCS คืออีกค่ายหนึ่งที่กำลังจะเดินหน้าโครงการ 4G ในบางเมือง โดยจะใช้เทคโนโลยี 4G LTE ที่ร่วมพัฒนาอุปกรณ์กับ Samsung โดยใช้ชื่อรุ่นคือ SCH-r900 โดยจะใช้ CPU 624 MHz มี RAM ขนาด 128 MB และจอภาพสัมผัสขนาด 3.2 นิ้ว ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ Windows Mobile 6.1 แต่ในขณะนี้ก็มีเพียงรุ่นเดียวที่จะสามารถใช้โครงข่าย 4G ได้จริง
โดยเมืองแรกที่จะมีโอกาสใช้โครงข่าย 4G ของ MetroPCS ก็คือ Las Vegas